ทุกชีวิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “จิตก่อนตาย”
กราบนมัสการหลวงพ่อ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับจิตก่อนตายดังนี้
๑. หนูเป็นผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ ถือศีลตามที่ตั้งใจไว้นานพอสมควร แต่ก็ยังไม่ได้อะไรมากนัก มักจะหาโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าเขาแดงใหญ่บ่อยๆ ตามที่เวลาจะอำนวย เนื่องจากจะต้องทำงานและมีความรับผิดชอบต่องานสูง ถ้าไม่ได้มาที่วัดก็จะปฏิบัติที่บ้านเกือบทุกวัน แต่เวลาที่ปฏิบัติแต่ละวันไม่มากนัก ระหว่างที่ปฏิบัติ จิตยังไปนู่นไปนี่ตลอดเวลา ไม่ค่อยสงบ บางครั้งเวลานั่งสมาธิจะฟังเทศน์ไปด้วย จิตก็คิดตามพระเทศน์ ก็จะไม่คิดไปที่อื่น
คำถาม : การนั่งสมาธิแล้วฟังพระเทศน์เป็นการปฏิบัติที่ผิดหรือไม่ หรือต้องอยู่ในที่เงียบๆ เท่านั้น
๒. เวลาหนูนั่งสมาธิหรือนอนหลับจะพบภาพพระสงฆ์บ่อยๆ เป็นนิมิตหรือเปล่าคะ
๓. หนูได้สูญเสียพ่อไปเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ระหว่างที่พ่อป่วยที่โรงพยาบาลได้อยู่กับพ่อตลอดเวลา หนูพยายามสวดมนต์ให้พ่อฟังทุกวัน บอกให้พ่อสวดด้วย พยายามพูดในสิ่งที่พ่อจะไปที่ดี เช่น ให้นึกพุทโธ ให้นึกถึงหลวงตามหาบัว นึกถึงพระพุทธเจ้า ต่อมาพ่อดิ้นทุรนทุรายอยู่ ๒ วัน แล้วค่อยๆ สงบลง ยังใช้เครื่องหายใจอยู่ แต่ไม่รู้สึกตัว ระหว่างที่พ่อไม่รู้ตัว หนูได้นำผ้าไตรและพระพุทธรูปให้พ่อสาธุบ่อยๆ (พ่อหนูจะรู้หรือไม่ก็ขอให้ได้ทำให้พ่อ) และทำบุญซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาล เปิดเทปหลวงตามหาบัวบนหัวนอน มีอยู่ครั้งที่พ่อรับรู้ ส่งเสียงอือๆ ๒ ครั้ง พยาบาลบอกหูจะดับเป็นสิ่งสุดท้าย วันที่พ่อจะจากไป หนูได้สวดมนต์ข้างๆ หูพ่อตลอดเวลา จนจิตหนูนิ่งจนพ่อจากไป
คำถาม : การปฏิบัติดังนี้ถูกต้องหรือไม่ พ่อจะรับรู้และได้รับผลบุญเพื่อนำไปภพหน้าที่ดีหรือไม่ (พ่อเป็นคนถือศีล แต่ไม่ได้นั่งสมาธิ เป็นผู้นำสวดมนต์ของวัดและของบ้านที่ทำบุญ)
๔. คนที่ตายไปแล้วจะเกิดเลยใช่หรือไม่ การจัดงานศพให้ผู้ตายจะรับรู้หรือไม่ จะได้รับผลบุญที่ทำให้หรือเปล่าคะ
๕. การทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิ อุทิศส่วนกุศลให้ จะได้รับหรือไม่ และวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นอย่างไรคะ
คำถามเกี่ยวกับพ่อ เนื่องจากหนูยังกังวลและคิดถึงพ่ออยู่ ภาพที่พ่อดิ้น มีสายยาง ยังจดจำอยู่ จึงขอความอนุเคราะห์หลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : เอาทีละข้อเนาะ “ข้อที่ ๑ หนูเป็นผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา”
นั่งสมาธิ เห็นไหม นั่งสมาธิแล้ว ที่เรานั่งสมาธิ นั่งสมาธิแล้วจิตใจมันฟุ้งซ่าน แล้วเราฟังเสียงเทศน์ไปด้วย อย่างนี้ผิดหรือถูกเจ้าคะ
การนั่งปฏิบัติธรรมนะ เราปฏิบัติของเรา เพราะเราเห็นแก่หัวใจของเรา ถ้าเราปฏิบัตินะ ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของทางโลก เราต้องแข่งขัน เราต้องทำหน้าที่การงานให้ประสบความสำเร็จ ทำหน้าที่การงาน เราก็ทำของเรา หน้าที่การงานนะ
เราแข่งขัน เราแข่งขันระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจของเรา แต่เราไม่แข่งขันไปกับโลก โลกเป็นแบบนั้นไง โลก เห็นไหม โลกพร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ข้าราชการทุกอย่างต้องเกษียณ คนเรามันต้องมีเกษียณ มันต้องมีผู้ที่ทำงานใหม่เข้ามา มันต้องมีผู้ที่เข้ามาสู่วงจร แล้วก็มีผู้ที่ออกจากวงจรนั้นไป นี้มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น โลกนี้เป็นธรรมดา เราก็มีอาชีพของเรา เราทำหน้าที่ของเรา เห็นไหม เราเป็นผู้ที่รับผิดชอบสูง เรารับผิดชอบมาก
คนรับผิดชอบมากมันเป็นพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตคือนิสัยของคน ถ้าคนรับผิดชอบมาก หน้าที่การงานเขารับผิดชอบมาก คนรับผิดชอบนะ กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดีของคนมันหอมทวนลม เราทำงานอยู่ในองค์กรใดก็แล้วแต่ ถ้าเรารับผิดชอบสูง หน้าที่การงานเรารับผิดชอบมาก ในที่ทำงานเขารู้เองว่าใครรับผิดชอบมาก ใครรับผิดชอบน้อย ใครมีความสามารถมาก ใครมีความสามารถน้อย เห็นไหม การยอมรับกันในองค์กรนั้น
นี่ก็เหมือนกัน หน้าที่การงาน เราก็ทำของเราไป เราทำหน้าที่การงานด้วยจริตนิสัยคือความรับผิดชอบของเรา แต่ถ้าเรามีสติปัญญา สติปัญญาเราจะฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าฝึกหัดภาวนาของเรา ทำหน้าที่การงานเวลาเหนื่อยยากขึ้นมาแล้วเราต้องพักผ่อน เขาให้พักร้อน เขาให้โบนัส ถ้าทำคุณงามความดีต่างๆ นี่เขาให้รางวัลกับการทำงาน
แต่เราทำสมาธิของเรา เราจะให้รางวัลกับชีวิตของเรา เราจะให้รางวัลกับความสงบร่มเย็นของเรา หัวใจนี้มันเร่าร้อน หัวใจที่มันไม่มีที่ได้พึ่งพิง เห็นไหม ถ้าเราทำหน้าที่การงาน
จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์ หน้าที่การงานรับผิดชอบ มนุษย์ ทางวิทยาศาสตร์รู้ได้แค่นี้ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ได้มา ได้มาจากบุญกุศล ผลของวัฏฏะ เราทำคุณงามความดีเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เรายังมีหน้าที่การงานด้วย
คนที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วตกงาน ไม่มีงานทำ เขาก็ต้องดิ้นรนของเขา เขาก็ต้องทำงานส่วนตัวของเขา คนเวลาเขาไม่มีหน้าที่การงาน เขาก็ไปทำเกษตรกรรม ไปทำต่างๆ เพื่อเลี้ยงชีพเขา
เราเป็นมนุษย์ด้วย เรามีหน้าที่การงานด้วย เรามีความรับผิดชอบด้วย นี่คือบุญของเรา ทีนี้บุญของเราเพราะอะไร เพราะเราทำของเรามาอย่างนี้มันถึงได้บุญกุศลส่งมาอย่างนี้ แต่คนที่มีสติมีปัญญา เขาจะมาฝึกหัดภาวนาด้วย เขาจะให้หัวใจมีที่พักพิง
ถ้าหัวใจมีที่พักพิงนะ เราฝึกหัดภาวนา จิตใจร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม อย่างนี้เงินทองมันซื้อไม่ได้ อย่างนี้องค์กรก็ให้เราไม่ได้ ใครก็ให้เราไม่ได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกเราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น เราเป็นคนแนะวิธีการเท่านั้น
เราประพฤติปฏิบัติ คนที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าคนไม่มีความรับผิดชอบสูง เวลาปฏิบัติมันก็ปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ คำว่า “ลุ่มๆ ดอนๆ” คือล้มลุกคลุกคลานไง คนที่มีความรับผิดชอบสูง เวลาปฏิบัติมันก็มีเอกภาพ จิตใจมันมั่นคง มันทำของมันขึ้นมามันจะได้ผลของมัน ถ้าได้ผลของมัน มันก็มีความสงบบ้าง มีความสงบบ้าง แล้วมีความชำนาญขึ้น ความสงบบ้างจนเป็นความสงบที่แนบแน่นไปกับใจ ความสงบบ้างมันเป็นครั้งเป็นคราวไง ทำได้ยาก ทำได้ง่าย แต่ถ้ามันทำของมันบ่อยครั้งเข้าๆ จนมันมั่นคง เราจะมีที่พึ่ง เรามีที่พึ่งของเรา
หน้าที่การงานก็หน้าที่การงาน เราต้องทำ คนเกิดมาต้องทำ แม้แต่พระ พระขี้เกียจขี้คร้าน มันจะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร เพราะสิ่งใดก็แล้วแต่มันออกมาจากใจ ถ้าใจของคนรับผิดชอบ หน้าที่การงานมันจะออกมาโดยกิริยา มันรู้ได้เลยว่าจิตใจรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น ถ้าเราไม่ขี้เกียจขี้คร้าน เราทำของเรา เราทำของเราได้
แต่มันเป็นปัญหาไง มันเป็นปัญหาว่า เวลานั่งสมาธิไปมันชอบคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย ฉะนั้น พอมาฟังเทศน์ มาฟังเทศน์หลวงตา มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์แล้ว ฟังเทศน์ไปด้วยมันไม่คิดไปที่อื่น มันดีกว่า แล้วถ้าทำอย่างนี้ผิดไหม
ไม่ผิด ทำอย่างนี้กลับถูก เพราะหลวงตาท่านเทศน์ไว้บ่อยมากบอกว่า ในการปฏิบัติของกรรมฐาน การฟังเทศน์มันเป็นการปฏิบัติสุดยอดที่สุด เพราะเวลาเรานั่งสมาธินะ เวลาจิตมันจะสงบนะ จิตมันจะลงนะ มันจะลงหรือมันจะไม่ลง มันจะมาแล้ว สมาธิกำลังจะมา สมาธิจะไปหรือสมาธิจะไม่ไป เห็นไหม มันวิตกกังวลไปหมดล่ะ
แต่ถ้าฟังเทศน์ ฟังเทศน์นะ เพราะครูบาอาจารย์ท่านผ่านของท่านมา แล้วท่านจะบอกเลยว่า ถ้ากำหนดพุทโธๆ หรือกำหนดอานาปานสติ จะละเอียดเข้ามา
ความละเอียดเข้ามา เราฟังนี่เราเกาะไว้ มันเหมือนกับพุทโธไง ถ้าเราปฏิบัติโดยส่วนตัว เราจะพุทโธของเราไปเรื่อย เพราะเราไม่มีที่พึ่งไง เราต้องพึ่งตัวเอง เรามีคำบริกรรมเป็นที่พึ่ง มีอานาปานสติเป็นที่พึ่ง
แต่เวลาฟังเทศน์นะ เอาเสียงธรรมนั้นเป็นที่พึ่ง เรากำหนดรู้ไว้เฉยๆ เรากำหนดรู้ไว้เฉยๆ เสียงนั้นจะมากระทบเอง เราไม่ต้องนึกพุทโธ เราไม่ต้องกำหนดลมหายใจ เรากำหนดรู้ไว้เฉยๆ ถ้ามันมีเสียงอยู่ เพราะเสียงมันกระทบหูใช่ไหม เราเอาสติอยู่กับเสียงจะชัดเจนมาก
แต่ถ้าเราบอกเราต้องมีลมหายใจด้วย หายใจเข้า หายใจออก พุทโธด้วย แล้วจะฟังเทศน์ด้วย นี่จับปลาหลายมือ ถ้าฟังเทศน์ ถ้ามีครูบาอาจารย์เทศน์ เอาเสียงนั้นเป็นที่เกาะ ถ้าเอาเสียงนั้นเป็นที่เกาะ เราเกาะเสียงนั้นไว้ ถ้าเกาะเสียงนั้นไว้ เกาะไว้เฉยๆ อย่าไปสนใจ อย่าส่งออก
เวลาฟังเทศน์ขึ้นมา หลวงพ่อจะเทศน์อะไร ครูบาอาจารย์จะเทศน์อะไร กลัวจะฟังเทศน์แล้วไม่เข้าใจ นี่มันส่งออกไป
ให้กำหนดรู้ไว้เฉยๆ เสียงนั้นจะมาเอง แล้วเสียงนั้นมาเอง สิ่งที่มันกระเทือนใจ คำไหน คำเทศน์ไหนที่มันกระเทือนใจ คำเทศน์ พอสะเทือนใจนะ พอสะเทือนใจมันเข้าสู่ใจ เข้าสู่ใจขนพองเลย ขนลุกเลย ขนลุกเลย ตัวพองเลย เอาตรงนั้น เอาคำเดียว แต่เราฟังเสียงนั้นไป คือเกาะไป เหมือนพุทโธๆ เวลาจิตมันจะลง มันจะลงอย่างนั้น
ฉะนั้น คำถาม “การนั่งสมาธิแล้วฟังเทศน์เป็นการปฏิบัติผิดหรือไม่”
ปฏิบัติถูก ทีนี้พอปฏิบัติถูก ฟังเทศน์ๆ เวลาฟังเทศน์ ตอนนี้เสียงธรรมหลวงตา ๑๐๓.๒๕ เปิดได้ทั้งวันเลย เราเกาะสิ่งนั้นไว้ๆ ถ้าเกาะสิ่งนั้นจนมันคุ้นเคย มันคุ้นชิน มันก็เหมือนพุทโธ พุทโธจนพุทโธไม่รู้เรื่อง ถ้าพุทโธเราชัดเจน ถ้าสติเราชัดเจนนะ พุทโธจะชัดเจนมาก
ทีนี้เราฟังเทศน์ๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์มา ถ้าเรามีผู้รู้ไว้ เราฟังเสียงนั้นมากระทบ แล้วถ้าเสียงนั้น คำพูดไหนที่มันสะเทือนใจเราๆ การสะเทือนใจนี่รสของมัน
เวลาฟังเทศน์ๆ ไปนะ ฟังเทศน์ไป เสียงก็สักแต่ว่าเสียง จิตนี้มันลงได้นะ จิตนี้มันลงของมันคือมันละเอียดเข้าไปๆ จนเทศน์นี้ไม่ได้ยินเลย
มันกำหนดพุทโธๆ จนเราพุทโธไม่ได้ เรานึกพุทโธๆๆ จนพุทโธละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ จนนึกพุทโธไม่ได้ แต่จิตนี้นิ่งเลย นี่ก็เหมือนกัน ฟังเทศน์ ฟังเสียง เสียงเทศน์ เราได้ฟังอยู่ สติเรารับรู้ไว้ เสียงนั้นมากระทบ รับรู้ไว้ๆ มีอยู่ที่ผู้รู้นี้ชัดเจนไว้ เดี๋ยวมันละเอียดขึ้นๆ มันลงได้ การฟังเทศน์
“การนั่งสมาธิพร้อมฟังเทศน์ถูกหรือผิด”
ถูก แต่คำว่า “ถูก” ถูกอย่างไร ถ้าฟังเทศน์นะ จะรู้หมดเลยตั้งแต่ขึ้น นะโม ตัสสะ จนเอวัง จำได้หมดเลย จะอัดเทป นั่นมันเทป เทปไม่มีชีวิต อย่างนั้นน่ะผิด ผิดเพราะอะไร เพราะเป็นความกังวล จะเก็บคำพูดทุกคำเลยนะ มันเป็นความกังวล มันเป็นความรับรู้ ไม่ต้อง
ตั้งผู้รู้ไว้เฉยๆ ตั้งสติไว้ เสียงที่มา คำไหนที่มันสะเทือนใจ สะเทือนใจจริงๆ นะ เวลาฟังเทศน์ ถ้าอะไรมันสะเทือนใจเรา เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนคิดเอง เราเป็นคนสะสมเอง แล้วเราก็ไม่รู้เอง ครูบาอาจารย์ท่านพูดมา พูดมาเหมือนกับตำรวจจับขโมยได้ อู้ฮู! สะเทือนมาก ถ้าสะเทือนมาก เอาอันนั้น
ฟังเทศน์ไป การนั่งสมาธิพร้อมฟังเทศน์ เป็นการปฏิบัติผิดหรือไม่
ไม่ การปฏิบัติถูก แต่เวลาฟังเทศน์แล้ว เวลาเราไปอยู่ในที่วิเวก ไม่มีเสียงเทศน์นั้น เขาฟังเทปก็ได้ เปิดวิทยุก็ได้ แล้วถ้าไม่มี เราก็พุทโธของเรา แล้วถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นั่นก็คือเทศน์ เวลาเราคิดสิ่งใดไป เรามีสติตามความคิดไป ความคิด จิตมันเทศน์ให้จิตฟัง จิตเราเทศน์ให้จิตเราฟังเอง เพราะจิตมันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์ไปแล้วมันก็รู้ทุกข์รู้ยาก เสวยรู้ทุกข์รู้ยากแล้วมันร้อนไหม ถ้าเรามีสติปัญญาตามทัน ตามความคิดไป มันจะเทศน์สอนตัวเอง เห็นไหม ถ้าเทศน์สอนตัวเอง ถ้าคนปฏิบัติเป็นมันจะรู้สิ่งนี้ได้ ถ้าคนปฏิบัติไม่เป็นจับต้นชนปลายไม่ถูก ขึ้นต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติไปก็ผิดไปทั้งนั้น ปฏิบัติไปก็ก้าวไปไม่ได้เลย
ถ้าเราปฏิบัติของเราไปมันจะจับต้นชนปลายได้ เริ่มต้นของเราไปได้ ทำให้บ่อยครั้งเข้า จากไม่เคยสงบเลยก็สงบเป็นบางครั้งบางคราว แล้วพอบางครั้งบางคราวเป็นการยืนยันว่าความสงบของจิตมันมีอยู่ ความเป็นจริงมีอยู่ ถ้ามีอยู่ มันมีความมั่นคงมาก มันมีความมั่นใจมาก จะทำดีขึ้น ทำดีขึ้น ปฏิบัติให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่ทำนี่ถูก
“๒. เวลาหนูนั่งสมาธิหรือนอนหลับจะพบภาพพระสงฆ์บ่อยๆ เป็นนิมิตหรือเปล่าคะ”
เป็น เป็นฝันด้วย เป็นฝัน ถ้าเราฝันเห็น เราฝันเห็นพระต่างๆ เป็นมงคล ถ้าเรานั่งสมาธิเป็นนิมิต ถ้าเป็นนิมิต ถ้าเห็นพระ เห็นพระพุทธรูป เห็นต่างๆ ไปเห็นแล้วมันชื่นใจ
คนเราเวลาดำน้ำไป เราดำน้ำ เราไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าเราใส่หน้ากากไป เราดำน้ำไป เราไปเห็นทิวทัศน์ในน้ำ เราไปเห็นความสวยงาม โอ้โฮ! เราจะตื่นเต้นมาก จิต เราจิตสงบแล้วถ้ามันเหมือนดำน้ำไม่เห็นสิ่งใดเลย มันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นความรู้ของใจ ถ้าไปเห็นนิมิต เห็นต่างๆ มันก็เหมือนไปเห็นภาพ เห็นภาพความสวยงามของใต้น้ำ มันก็มีความชื่นใจ
ถ้ามันมีนิมิตเกิดขึ้น นิมิตก็คือนิมิต ถ้าจะเป็นนิมิตเห็นพระพุทธรูป เห็นต่างๆ เห็นแล้วมันก็ชื่นใจ มันเป็นมงคลชีวิต แล้วก็วางไว้ อย่าไปติด อย่าไปติดคือว่าจะต้องเห็น จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ต้อง เหมือนกับความเป็นไป ทุกคนที่เราเกิดมาเป็นคน เราเคยเป็นเด็กมาก่อน เราจะติดความเป็นเด็กเราได้ไหม มันต้องโตขึ้นมาไง
จิตก็เหมือนกัน พอเห็นเหมือนกับเด็กๆ อนุบาล เราโตขึ้นไป พอเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ภาพจากความเป็นเด็กมันก็อยู่ในความทรงจำของเรา แต่เราจะกลับไปเป็นอย่างนั้นไม่ได้
นิมิตก็เหมือนกัน เราเห็นแล้วเราก็ปล่อยวางไว้ จิตมันเข้มแข็ง จิตมันดีขึ้นมา มันจะพัฒนาของมันขึ้นมา เพราะเราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นสติปัฏฐาน ๔ การปฏิบัติในแนวสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงที่จิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ตรงนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา
แต่ถ้ามันจิตสงบแล้ว หรือเรานอนหลับเห็นภาพต่างๆ อันนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นที่จริตนิสัยของคน คนนอนแล้วฝันเห็นก็มี บางคนนอนไม่เคยฝันเลย บางคนนั่งสมาธิไปไม่เคยเห็นภาพใดๆ เลย แต่บางคนนั่งสมาธิไปเห็นร้อยแปดพันเก้าเลย
ความรู้ความเห็น เห็นไหม คนที่ไม่เห็น ไม่เห็นก็เพราะไม่เห็น ไม่เห็น ถ้าทำความสงบ จิตมันก็สงบได้ คนที่รู้ที่เห็น เวลามันวางนิมิตแล้วทำให้สงบเข้าไปมันก็สงบเข้าไปได้ เพราะเป้าหมายของเราคือทำความสงบของใจ เป้าหมายของเราไม่ใช่ไปติดคาอยู่อย่างนั้น ฉะนั้น สิ่งที่เห็นก็คือที่เห็น มันเป็นนิมิตไหม เป็น มันเป็นความหมายไหม เป็น เป็นแล้วก็วางไว้
เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม มนุษย์มันก็มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วเราจะไปติดอะไรล่ะ เพราะสิ่งที่มันเป็นอยู่มันเป็นผลที่เราได้มา แล้วสิ่งที่ได้มาเป็นต้นทุน ต้นทุนที่จะทำคุณงามความดีต่อเนื่องขึ้นไป ต่อเนื่องขึ้นไปให้จิตมันรับรู้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นนิมิตไหม เป็น แล้ววางไว้
“๓. หนูได้สูญเสียพ่อไปวันที่ ๖”
ขณะที่เราดูแลพ่อ สิ่งนี้ เราอยากพูดข้อนี้ เราอยากพูดข้อนี้เพราะว่าเรามีลูกศิษย์หลายคน ลูกศิษย์เวลาเขาไปดูแลแม่นะ แม่เจ็บไข้ได้ป่วย ดูแลแม่จนแม่ตายคามือไป แล้วพอแม่ตายคามือ คือเราอุปัฏฐากแม่จนเสียชีวิตไป เขามาหาเรานะ เขามีความสะเทือนใจมาก เขาบอกชีวิตนี้เป็นอย่างนี้หรือ ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้หรือ ตายไป พอเวลาตายไป เห็นความเจ็บไข้ได้ป่วยมันสะเทือนใจ แล้วเราต้องเป็นอย่างนี้หรือ
นี่ก็เหมือนกัน เราดูแลอุปัฏฐากพ่อจนพ่อตายไป เห็นพ่อ เพราะพ่อเป็นคนถือศีล เป็นคนสวดมนต์ เป็นคนเข้าวัด เป็นคนนำเขาสวดมนต์ในวัด แสดงว่าพ่อเขาทำความดีมาตลอด แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องตาย เห็นไหม จะทำความดี จะทำสิ่งใดมา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด
ฉะนั้น ถ้าคนมีสติมีปัญญานะ เราอุปัฏฐากอยู่อย่างนี้ เหมือนเราเลย เหมือนพระที่ไปเที่ยวป่าช้า เที่ยวป่าช้า เขาไปทำไม เขาไปดูซากศพ ไปดูซากศพเพื่ออะไร คนก็มีเท่านี้ เวลาคนตายไปแล้วก็เหลือแค่นี้ นอนอยู่ในโลงนี่ ก็มีเท่านี้เอง
นี่ก็เหมือนกัน นี่พ่อของเราแท้ๆ แล้วพ่อของเราเป็นคนดีด้วย เป็นคนมีศีลมีธรรมด้วย แล้วพ่อก็ต้องจากไป เห็นไหม เป็นคติธรรมดา เป็นคติ ทุกชีวิตจะเป็นแบบนี้
ทีนี้เพียงแต่เป็นธรรมดา เป็นธรรมดา คนนะ ผู้ที่มีวิชาชีพเป็นพยาบาล เป็นหมอ เขาเห็นคนตายทุกวัน หมอ พยาบาลบางคนเขาเห็นแล้วนะ เขาอยากเป็นแม่พระ เขาอยากจะทำบุญกุศล เขาอยากจะเกื้อกูล แต่หมอ พยาบาลบางคนใช่ไหม อาชีพ เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเห็นเป็นเรื่องธรรมดานะ บางทีเขายังเห็นว่าเป็นอาชีพเขา เป็นเงินเป็นทองของเขา มันก็เลยไม่ได้มองเป็นเรื่องธรรมะไง ไม่ได้มองเป็นเรื่องธรรมะ จิตใจมันก็ไม่ได้สร้างบุญกุศล จิตใจมันไม่พัฒนา
ถ้าจิตใจมันมองแล้วมันสะเทือนใจนะ อย่างเช่นเราไปเที่ยวป่าช้า เราไปอยู่ป่าอยู่เขา เขาให้เสือให้สางมันช่วยสอนจิตนี้ไง เวลาเราอยู่ด้วยตัวคนเดียว เราก็คิดฟุ้งซ่านไปหมด คิดว่าเราจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เราจะไปเที่ยวประเทศนั้น อู๋ย! มันคิดไปทั่ว พอเข้าไปในป่าช้า มันกลัวผี มันไม่กล้าคิดอะไร มันก็พุทโธๆ
ไปอยู่ป่าอยู่เขาให้เสือมันช่วยสอน เสือมันมา ไปอยู่ เดี๋ยวเสือมันจะเอาไปกิน เดี๋ยวมันจะมีเหตุร้ายอย่างนี้ มันไม่กล้าคิดนอกเรื่องนอกราว เห็นไหม ถ้าจิตใจที่ดีมันเป็นอย่างนี้ จิตใจที่ดีเห็นสภาพแบบนั้นแล้วมันเป็นปัจจุบัน แล้วมันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจนะ
เขาอยากเป็นแม่พระ มีพยาบาลหลายคนมากเขามาหาเรานะ “หลวงพ่อ เราจะมีวิธีการอย่างไร คนใกล้ตาย เราจะสวดมนต์ให้เขาฟัง” คืออยากให้คนตายมีสติ คนที่เป็นแม่พระนะ เขาอยากให้คนตายมีสติ ให้ไปพร้อมกับความสงบ ให้ไปสู่ที่ความดีงามของเขา เขามาปรึกษาว่าจะทำอย่างไร
เราบอกมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันคนละดวงใจ ไอ้ที่แม่พระเห็นเขาเพราะเมตตา อยากให้เขาเป็นอย่างที่เราคิด แต่ไอ้คนที่เป็นน่ะ เพราะอะไร เพราะจิตใจเขาเป็นอย่างนั้น เขามีกรรมนิมิต เขามีกรรมนิมิตนะ
คนถ้ามีกรรม เขามีกรรมนิมิต เวลาใกล้จะเสียชีวิตจะมีภาพที่เขาเคยทำสิ่งใดไว้มันจะตามมาถึงเขา เขาจะตกใจแล้วเขาเห็นอยู่คนเดียว คนรอบข้างไม่เห็น แต่คนรอบข้าง แม่พระอยากให้เขาสงบเสงี่ยม อยากให้เขาไปดีๆ นี่มองด้วยจิตใจที่สูงส่ง แต่ข้อเท็จจริงไง ข้อเท็จจริงจิตที่มันรู้มันเห็น ก็มันเห็นอยู่คนเดียว
เวลากรรมนิมิตนะ อย่างเช่นเราชราภาพเต็มที่แล้ว เราใกล้จะตาย โอ๋ย! ถ้าเราทำบุญกุศลนะ โอ้โฮ! รถทิพย์มันมารอเลยล่ะ เชิญ โอ้โฮ! เหมือนกับเราจะไปปิกนิก เราจะไปเที่ยวเมืองนอก มันก็ไปแบบดีใช่ไหม
แต่ถ้าเราได้สร้างบาปไว้มากเลย โอ้โฮ! พญายมบาลถือหอกถือหลาวมากำลังจะทิ่มจะแทง เราจะตกใจมาก ดิ้นพล่านๆ เลย แต่เห็นอยู่คนเดียว แล้วแม่พระก็บอกว่าอย่าไปกลัวสิ ไม่ต้องกลัว แม่พระบอกไม่ต้องกลัวนะ ให้นึกถึงพระไว้นะ ไปดีๆ นะ เขาจะทิ่มจะแทงอยู่แล้ว นี่พูดถึงกรรมนิมิต
ฉะนั้น เวลาคนที่เขาเห็นนะ เขาเห็นของเขา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเฉพาะตน ทีนี้เวลาจิตมันจะไป มันไปอย่างนั้น นี่พูดมันจะนอกเรื่องไปไกลเลย
เพียงแต่ว่าคนที่ปรารถนาดีเป็นแม่พระเขาอยากคิดดี อยากทำดี ฉะนั้น ในพระพุทธศาสนา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เขาทำของเขามา แล้วถึงเวลาเขาต้องได้รับผลของเขา แต่เราเป็นคนยืนดูอยู่ข้างนอก เป็นคนยืนอยู่ข้างนอก แต่เราปรารถนาดีกับเขา เราอยากจะทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุขไปตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเป็นไปไม่ได้ นี่พูดถึงเวรกรรมของคน พูดถึงความเห็นของคน แต่ความปรารถนาอย่างหนึ่ง แต่เราคิดอยากจะช่วยไง อันนี้เป็นสิ่งที่เวลาพวกวิชาชีพของเขา
แต่ของเราเป็นลูก ลูกก็หวังดีกับพ่อ ความปรารถนาดีกับพ่อนี่สายบุญสายกรรมนะ ถ้าเป็นคนอื่น เรามองแล้วเราก็สมเพช เขาเรียกธรรมสังเวช ถ้าเรามองด้วยความสังเวชนะ เราก็ได้ประโยชน์แล้ว แต่นี่พ่อ พ่อเป็นพระอรหันต์ของเรา เป็นสมบัติของเรา เราเกิดชีวิตนี้มา เวลาพ่อจะพลัดพราก มันสะเทือนใจแน่นอน
ทีนี้ความสะเทือนใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน อทาสิ เม อกาสิ เม เธออย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันเป็นสัจจะ มันเป็นคติธรรมดาของโลก ของวัฏฏะ มีการเกิดก็ต้องมีการตาย แต่เวลาเราเกิดมาแล้วเราจะทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน เราเกิดมาแล้วทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราจะตายไปข้างหน้า เรามีสมบัติของเราไป เราพร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริงอันนั้น ฉะนั้น สิ่งที่ว่าถ้าเรารู้เราเห็นอย่างนั้น สิ่งนี้เราอุปัฏฐาก เราดูแลของเรา นี่มันสะเทือนใจไง ถ้าสะเทือนใจแล้วมันกลับมาให้คิด
กลับมาให้คิดว่า ถ้าชีวิตมันเป็นแบบนี้ แล้วเราจะเอาสิ่งใดเป็นที่พึ่ง ถ้าเราเอาสิ่งใดเป็นที่พึ่ง เราก็พยายามจะภาวนาของเรา เราจะให้เห็นตอนนี้เลย เราจะเห็นการแปรสภาพไปของกาย ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะพิจารณาของมันเป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงของเรา
เวลาอุปัฏฐากพ่อ เราเห็นพ่อเป็นไป เห็นไหม เวลาเขาอุปัฏฐากพ่ออุปัฏฐากแม่ เขาดูแลพ่อแม่ของเขา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันเป็นคติธรรมดาของโลก แต่เวลาเราปฏิบัติธรรม จิตเราสงบ จิตเราสงบ แล้วเรารู้เราเห็นกายของเรา เราจะรู้เห็นกายของเราเอง ถ้ารู้เห็นกายของเราเอง ระหว่างกายกับใจมันอยู่ด้วยกัน ทีนี้กายกับใจอยู่ด้วยกันเพราะว่าผลของวัฏฏะเราเกิดเป็นมนุษย์ไง มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วมีจิต
ถ้ามีจิต จิตมันจับธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พิจารณาของมันตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมัน ถ้าพิจารณา มันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณะ ถ้ามันเป็นไตรลักษณะความจริง มันวางของมันได้ วางบ่อยครั้งๆ จนมันสละทิ้ง มันขาดไป มันขาดไปเลยนะ มันละสังโยชน์ไปเลย ละสังโยชน์ไป จิตเป็นอิสระต่างๆ มันจะพัฒนาไป
ธรรมข้างนอก เห็นไหม เราไปเที่ยวป่าช้าดูกายนอก แต่เวลาเราพิจารณาของเรา เห็นกายของเรา มันเป็นกายใน ถ้ากายในมันเป็นความจริงของเรา
ฉะนั้น สิ่งที่เราทำกับพ่ออย่างนี้ถูกไหม
ถูก เราก็พยายามทำดีที่สุดกับพ่อ ทำดีที่สุด เพราะพ่อของเรา เขาบอกว่า เขาดูแลพ่อของเขา สวดมนต์ให้พ่อฟังทุกวัน ให้พ่อคิดถึงต่างๆ แต่ธรรมดาก็ต้องเสียดายเนาะ เขาเสียดายของเขาว่า พ่อเป็นผู้ทำบุญกุศล พ่อเป็นคนดี พ่อมีศีลมีธรรม แต่พ่อไม่ได้ภาวนา ถ้าได้พ่อภาวนาด้วยยิ่งปลื้มใจใหญ่
เพราะภาวนามันเป็น เวลาเราส่งไปรษณีย์ไป ทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศลส่งไปรษณีย์ไป แต่ถ้าเขาทำของเขาเอง เขาติดตัวของเขาไปเอง นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมีสติ เราก็รับรู้ได้โดยสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราพิจารณาของเรา นี่ปัญญามันเกิด เวลามันเกิดธรรมะ กุปปธรรม อกุปปธรรม อกุปปธรรม สัจธรรมที่มันฝังไปกับใจ ใครจะมาขโมย ใครจะมาแย่งชิง มันเป็นกับใจดวงนั้น ถ้าภาวนามันได้ผลอย่างนี้ ถ้าภาวนานะ
ถ้าภาวนาล้มลุกคลุกคลาน ภาวนาไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ เราก็ปฏิบัติของเราไป เราประพฤติปฏิบัติของเราเป็นตบะธรรมให้มันแผดเผากิเลสของเรา ถ้ามันทำได้ก็เป็นประโยชน์ของเรา
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราทำกับพ่อถูกไหม
ถูก ทำวิธีการถูกหมด เราทำของเราถูกแล้ว
ฉะนั้น พยาบาลเขาบอกว่า สิ่งสุดท้ายแล้วหูจะดับเป็นครั้งสุดท้าย ฉะนั้น เวลาเขาสวดมนต์ให้พ่อฟัง พ่อร้องอือๆ นี่พ่อรับรู้ เห็นไหม จะรับรู้สิ่งใด รับรู้ได้ แม้แต่พ่อเสียไปแล้ว พ่อเสียไปแล้วเราทำบุญกุศล มันยังรับรู้ได้ ถ้าความรับรู้ได้ ความผูกพันนี่รับรู้ได้ทั้งนั้นน่ะ ความรับรู้ได้ ถ้ามันรับรู้ได้ เขาจะรู้กันได้อย่างไร รับรู้ได้ แต่เวลามิติ เวลาไปอยู่คนละภพคนละชาติ ฝ่ายที่ทุกข์ที่ยาก หรือจะให้รับรู้ แต่เรารับรู้ไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่มีครูบาอาจารย์ เวลาท่านฝัน เวลาท่านฝันต่างๆ มันผ่านกันได้ ถ้าเราทำของเรา เรารับรู้ของเราก็เป็นประโยชน์กับเรา
ฉะนั้น สิ่งที่ทำให้คิดอย่างนี้ ทุกชีวิตไง เห็นไหม ให้ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราไปเห็นแล้วมันเกิดธรรมสังเวชไหม เห็นแล้วเกิดธรรมสังเวช เราต้องเป็นแบบนั้น ถ้าเราเป็นแบบนั้นปั๊บ ชีวิตนี้มันมีค่าแล้ว ชีวิตนี้มีค่า มีค่าตรงไหน มีค่าว่า เราจะไม่เห็นสมบัติอื่นนอกจากชีวิตนี้ไง สมบัติของเรา หัวใจของเรา ถ้าสมบัติอื่น สมบัติสาธารณะ สมบัติอื่นข้างนอก ถ้าสมบัติของเราล่ะ เรามีสติปัญญาของเราไหม ถ้ามีสติปัญญามันจะย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าเห็นแบบนี้ แล้วถ้าไปเห็นคนอื่นมันก็ไม่สะเทือนใจ
เห็นพ่อ เห็นแม่ เห็นคนสนิท มันสะเทือนใจมาก เพราะเราผูกพันไง ความผูกพันมันสะเทือนหัวใจ นี่สายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรมเป็นอย่างนี้ เป็นได้
ฉะนั้น สิ่งที่ทำมาถูกไหม ให้ทำดีที่สุด เขาบอกว่าเขาเคยมาปฏิบัติที่นี่ มาภาวนาที่นี่ เพราะสังคมสงฆ์มันเป็นอย่างนี้ สังคมนักปฏิบัติเป็นแบบนี้ เราก็เข้าใจได้ ถ้าเข้าใจได้ มันก็ทำถูกแล้ว ทำถูกมันก็เป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม
ฉะนั้น “๔. คนที่ตายไปแล้วจะไปเกิดเลยใช่หรือไม่ การจัดงานศพให้ผู้ตายจะรับรู้หรือไม่ และจะได้รับผลบุญที่ทำไปหรือเปล่าคะ”
รับรู้ ต้องรับรู้
คนที่ตายจะเกิดเลยใช่ไหม
ใช่ เพราะจิต จิตเวลาเป็นมนุษย์ จิตนี้อยู่กับเรา แล้วเคลื่อนออกไป ทีนี้มันเป็นวาระ ถ้าเกิดหมด จิตออกไป จิตออกจากร่างนี้ไป ถ้ายังไม่เกิดก็เป็นสัมภเวสี แล้วไปเกิดที่ไหนล่ะ ถ้าลงไปที่ยมบาลเขาไปคัดแยก ถ้าคัดแยก
แต่ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เทวทัตได้สร้างบาปสร้างกรรมไว้มาก ตกอเวจีเดี๋ยวนั้นเลย เวลาเราทำบุญๆ ไม่ต้องไปผ่านยมบาลเลย ถ้าคนมีบุญมากไปสวรรค์เลย ไปโดยกำลังของบุญก็มี แต่ถ้าเป็นแบบว่าคนชั้นกลาง ดีก็ทำ ชั่วก็ทำ ส่วนใหญ่จะไปอย่างนั้น ถ้าไปอย่างนั้น
นี่พูดถึงว่า จิตตายแล้วเกิดเลยใช่ไหม
ใช่ แน่นอน
ตายแล้วเกิดเลยใช่ไหม แล้วจัดงานศพไปทำไม แล้วการทำบุญถึงผู้ตาย ผู้ตายจะรับรู้ไหม
จิตถ้าเป็นสัมภเวสีเขารู้ได้ แต่คนที่เห็นมิติเขาเห็นได้รู้ได้ แต่ที่ทำบุญกุศลๆ อุทิศให้เขา อุทิศให้เขา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำคุณงามความดีถึงกัน เรามีน้ำใจต่อคนอื่น เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เราอยากจะช่วยเหลือ เราจะไปช่วยเหลือเขา เขาไม่ไว้ใจเรา เขาไม่ให้เราช่วยเหลือ แต่เราอยากช่วยเหลือเขา แต่ถ้าคนที่ตกทุกข์ได้ยากเขาอยากให้เราช่วยเหลือเขา เราไปช่วยเหลือเขา เขาพอใจ เขาได้รับความช่วยเหลือจากเรา เขาพอใจไหม
ทีนี้พ่อแม่ เราทำบุญกุศล คนตาย เราอยากให้เขาได้บุญกุศล เราจะไปช่วยเหลือเขา ถ้าเขาได้รับ เขาก็พอใจของเขา ถ้าเขาไม่รับ เราก็ทำบุญของเรา นี่ไง ฉะนั้น เวลาทำบุญเขาบอกว่า อ้างคนตายแล้วทำบุญกัน แต่ถ้าเราไม่อ้างคนตาย เราทำของเราจริงๆ
ทำแล้วได้ไหม แล้วผลบุญที่ทำไปจะได้หรือเปล่า
เวลาคนที่เขาทำบุญกุศลมหาศาลนะ เขาไปเกิดเป็นพรหม เป็นอินทร์ เขาได้สมบัติดีกว่าเรา น้ำใจของเรา สมบัติของเราหยาบกว่าเขา เราอุทิศให้เขา มันเป็นเจตนาดีของเรา แต่เขาได้ที่ดีกว่านี้แล้ว คนเขามีเพชรนิลจินดามหาศาลเลย เราเอาพลาสติกไปให้เขา เขาก็ยิ้มๆ เออ! เอ็งเอาพลาสติก เด็กๆ เล่นพลาสติกกันนะ มันให้เรานะ เรามีแต่เพชรนิลจินดา เราก็ เออ! เอาๆ แต่รับไว้ ถ้าเขาได้ดีกว่าเรา มันเป็นไปอย่างนั้น แต่ถ้าคนตกทุกข์ได้ยากล่ะ อะไรที่ดำรงชีวิตได้นั้นสุดยอด
ฉะนั้น เขาจะได้รับไหม
ถ้าเขาไม่ได้รับส่วนบุญกุศลอันนั้นเพราะเขาไม่ต้องการ แต่เขาก็ได้รับค่าน้ำใจจากเรา แล้วเราเป็นลูก เราเป็นญาติ เราเป็นญาติกันโดยธรรม เรามีจิตใจ น้ำใจที่ดีต่อกัน เป็นความดีทั้งนั้นน่ะ เป็นความดีทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ถ้าผู้ที่นักปฏิบัติเข้มข้น เขาจะเอาจริงเอาจังของเขา เขาไม่เห็นสิ่งนี้เป็นที่พึ่ง เขาจะเห็นอริยสัจสัจจะความจริงในใจเป็นที่พึ่ง อันนั้นอีกกรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่งหมายความว่าอาชาไนยอย่างนั้นหาได้น้อย อย่างพวกเรามันพวกสัตว์สังคม อย่างนี้มันเป็นเรื่องศีลธรรมจริยธรรมในสังคม เราต้องอยู่กับเรื่องอย่างนี้ไปก่อน
“๕. การทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิอุทิศบุญกุศลให้แล้วจะได้รับหรือไม่ วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องทำอย่างไรคะ คำถามที่เกี่ยวกับพ่อ เนื่องจากหนูกังวลและคิดถึงพ่ออยู่ ภาพที่พ่อดิ้น มีสายยาง ยังจดจำอยู่ จึงขอความอนุเคราะห์”
ภาพที่พ่อดิ้น พ่อดิ้นตอนนั้น ธรรมดาคนเรามันวิกฤติในชีวิต มันทิ้งเนื้อทิ้งตัว คนเราถ้ามีสติปัญญา พระอรหันต์เวลาตาย ตายไปด้วยความสงบ เวลาพระอรหันต์ตายนะ บางทีมีการกระตุกต่างๆ หลวงตาท่านบอกว่าขันธ์มันทำงาน ธาตุขันธ์ของคนมันกระตุก แต่ใจมันไม่กระตุก ใจมันนิ่งไป อย่างที่หลวงปู่มั่น พระนั่งล้อมรอบเลย ท่านนิ่งไปๆ จนพระไม่รู้ว่าท่านละขันธ์ตอนไหนไง จนเจ้าคุณจูมว่า “ท่านไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ” มาดู ตายตอนไหนไม่รู้
แต่ถ้ามันกระตุกนะ มันอาจจะมีกระตุกเพราะธาตุขันธ์มันกระตุกของมัน ไอ้นี่เรื่องหนึ่ง ทีนี้บอกพ่อดิ้นๆ ความดิ้น เขาไม่รู้สึกตัว มันก็ดิ้นไปแบบวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เคมีในร่างกายมันมีปฏิกิริยาอะไรต่างๆ
แล้วมีสายยาง สิ่งที่จดจำ สายยางที่สอดใส่ตลอดเวลา
ก็การช่วยเหลือของเขา การช่วยเหลือของเทคโนโลยีที่เขาพยายามจะดำรงชีวิตไว้
ภาพนี้ยังจดจำอยู่
ถ้าภาพนี้ยังจดจำอยู่ เราก็ให้เห็นโทษของมัน ถ้าตอนนี้ยังแข็งแรงอยู่ เราก็พยายามให้มีจุดยืน ให้ใจมีที่พึ่ง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเขาจะรักษาก็รักษาไปตามแต่โอกาสที่จะเป็นไป ถ้าไม่รักษา เราก็ดูแลใจของเรา ชีวิตเป็นอย่างนี้ ชีวิตนี้เป็นแบบนี้ เวลาเราได้มา เราได้ชีวิตนี้มา เราได้ร่างกายนี้มา เราดูแลร่างกายนี้อย่างไร แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยล่ะ ก็รักษาไปตามอาการ
ถ้าโรคยังรักษาได้ก็รักษา ถ้าโรครักษาไม่ได้ก็ธรรมโอสถ โรครักษาไม่ได้ก็พุทโธแล้ว เอาธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เอาสัจธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าจิตใจมันพึ่งได้นะ จิตใจคนที่แข็งแรง ธรรมโอสถสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ถ้าจิตใจแข็งแรง แต่ถึงที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องนิพพาน ครูบาอาจารย์ท่านต้องตายหมดแหละ แล้วตายไป ตายแบบไม่เหลือเศษทิ้งไว้เลย เห็นไหม อนุปาทิเสสนิพพาน ตายที่ไม่เหลือเศษส่วนทิ้งไว้กับโลกนี้เลย แต่พวกเราตายแล้วเหลือเศษส่วน คือความวิตกกังวล คือสิ่งที่เกาะเกี่ยวในใจมันตายไปกับเรา แล้วมันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้น สิ่งที่ภาพที่เราเห็นความดิ้นของพ่อมันเจ็บ ที่ว่ามันเจ็บ มันมีสายยาง มีต่างๆ อันนี้มันเป็นวิธีการรักษา เขารักษากันวิธีนี้ ฉะนั้น ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิด เราก็ต้องมีสภาพแบบนี้ จะต้องมาเจอหมอ จะต้องมามีการดูแลรักษาร่างกายนี้ แล้วหัวใจล่ะ หัวใจนี้ใครจะรักษา หัวใจนี้ใครจะดูแล
ทุกชีวิตเป็นแบบนี้นะ พ่อเป็นแบบนี้ ถ้าเรามีสติปัญญา ประสบการณ์อันนี้จะมาสั่งสอนเรา ประสบการณ์อันนี้จะมาตอกย้ำเรา แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญานะ มันมีแต่ความเศร้าใจ ทำไมเป็นแบบนั้นๆ...ทุกชีวิตเป็นแบบนี้ เราจะแก้ไขของเราไปให้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา
ฉะนั้น สิ่งที่เห็นนั้น ภาพประทับใจ ภาพนี้จะทรงจำเราตลอดไป เพราะเราเป็นคนที่ดูแลเอง เพราะพ่อของเราเอง เรารักษาเอง ฉะนั้น สิ่งนี้เอามาเป็นประโยชน์กับชีวิตนี้ เอามาเป็นประโยชน์ เอามาเป็นประโยชน์กระตุ้นใจเรา
ทุกดวงใจ ทุกชีวิตมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน เกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีกายกับใจ ร่างกายนี้ต้องการอาหาร จิตใจนี้ต้องการธรรมะ เราเป็นญาติกันโดยธรรม สิทธิเสรีภาพมีเสมอกัน แล้วเราพยายามทำของเราให้เป็นความจริงของเรา อันนี้เป็นประโยชน์กับเราเนาะ จบ
ถาม : เรื่อง “ติดที่ปีติ”
กราบนมัสการพระอาจารย์ กระผมมีปัญหาที่เกี่ยวกับการภาวนา ต้องรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำครับ กล่าวคือ ผมภาวนาประจำ แต่ไม่คืบหน้า เพราะจิตมันติดที่ปีติ ไม่ไปไหนเลย ควรแก้ไขอย่างไรครับ รบกวนพระอาจารย์ด้วย
ตอบ : การว่าติดปีติ มันเป็นปีติจริงหรือเปล่า ถ้าว่าจิตมันไม่ไปไหนเลย มันไม่ใช่ติดปีติ นี่ตกภวังค์ คำว่า “ตกภวังค์” เห็นไหม มันไม่ไปไหนเลย พอเรากำหนดไปแล้วมันจะวูบเข้าไปตรงนั้นแล้วก็หายไปเลย อยู่ตรงนั้นน่ะ แล้วเราก็ว่าสิ่งนี้เป็นปีติ เราว่าสิ่งนั้น
ถ้าเป็นปีติ ปีติมันไม่อยู่กับเราหรอก ปีติจะเกิดได้ต่อเมื่อเรากำหนดพุทโธ ปีติจะเกิดได้ต่อเมื่อเรากำหนดอานาปานสติ ถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันจะเกิดวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์
มันเกิดวิตก วิจาร คือเกิดพุทโธ วิตก วิตกขึ้น พุทโธๆ วิจาร แยกแยะ แล้วถ้ามันเกิดปีติ ปีติก็คือปีติ ปีติมันเกิดจากการภาวนา แล้วปีติมันจะอยู่ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้ ปีตินี้เป็นอาการของใจ ถ้าเป็นอาการของใจ
แล้วบอกว่า เราติดอยู่ที่ปีติแล้วไม่ไปไหนเลย
ถ้ามันติดปีติ เพราะปีติมันต้องเสื่อม ปีติมันต้องหายไป ถ้าหายไปแล้วเราจะทนอยู่สภาพนั้นไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่ามันติดตรงนั้นแล้วไม่ไปไหนเลย นี่ภวังค์ เพราะมันไม่มีสิ่งใดเลย แต่เราพอใจ เราพอใจเพราะอะไร เพราะเราศึกษาธรรมมาว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ๆ สิ่งนี้เป็นธรรมๆ แล้วก็เคลิบเคลิ้มอยู่กับมัน
วิธีแก้ ถ้าตกภวังค์นะ เรากำหนดพุทโธชัดๆ เรากำหนดพุทโธของเราไว้ พุทโธชัดๆ ไม่ให้มันลงสิ่งใดเลย ให้อยู่กับพุทโธ ถ้าอยู่กับพุทโธนะ หรือถ้ากำหนดอานาปานสติก็อยู่กับลมหายใจชัดๆ ถ้าอยู่กับลมหายใจชัดๆ ถ้าจิตมันเกาะลมหายใจชัดๆ เวลามันจะละเอียดเข้ามา มันปล่อยเข้ามา มันมีสติ มันรู้ไง
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิ มันจะเกิด มันจะมีผู้มีสติ มีสติดูแลผู้รู้ มีสติดูแล มันดูแลบริหาร มันไม่หายวับไป มันไม่ติดไง เพราะอะไร เพราะถ้ามันเข้าไปสงบ มันสงบอยู่พักหนึ่งมันต้องเสื่อม
ความดี ของดีมันอยู่กับเราไม่นานหรอก ไอ้ความหมักหมมของใจมันอยู่กับเราตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นปีติ ปีติมันก็ต้องเสื่อม ปีติมันไม่อยู่คงที่หรอก
นี่บอกมันติดปีติแล้วอยู่กับปีติตลอดไป
สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันเป็นอนิจจัง มันไม่คงที่ ถ้ามันเป็นอนิจจัง มันไม่คงที่ แล้วไปติดมันๆ ติดของที่เป็นอนิจจัง มันติดอยู่ได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้ามันเป็นภวังค์ ภวังค์นี้ร้ายกาจมาก ภวังค์ เวลาตกไปแล้วมันเป็นสุญญากาศ ไปแล้วไม่รู้อยู่ที่ไหน หายไปอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วก็ภูมิใจดีใจว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็ใส่ชื่อไง ชื่อว่านู่น ชื่อว่านี่กันไป
แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ พุทโธไว้ พุทโธ ถ้ามันเป็นสมาธินะ มันมีสติ มันรับรู้ของมัน แล้วถ้าอานาปานสติ มันก็จะละเอียดของมันเข้าไป
วิธีแก้ เวลาพระ ถ้าเราจะแก้นะ ต้องอดนอนผ่อนอาหาร ถ้ามันจะลงปีติ ถ้าเราว่าปีติเป็นภวังค์ ถ้าไม่กินข้าว ไม่ให้กิน อดอาหารเลย ให้ร่างกายนี้เบา จิตใจนี้เบา แล้วถ้ามันยังเป็น ไม่กิน ให้ตายไปเลย พอมันจะตายจริงๆ มันไม่กล้าลง มันไม่กล้าลงภวังค์ ไม่กล้าลงภวังค์มันก็ดีขึ้นๆ เดี๋ยวจะแก้ได้ พอแก้ได้นะ คนที่เคยเป็นแล้วหายจากการเป็นอันนั้นจะชัดเจนมาก
แต่นี้เราเป็น เราติดไง แล้วเราบอกว่าอันนี้เป็นความจริง อันนี้เป็นปีติ ติดปีตินานแล้ว มันไม่ไปไหนเลย
ถ้าเวลาภาวนาไปแล้วมันไม่ไปไหนเลยคือเราภาวนาไม่ได้ ก็เรื่องหนึ่ง แต่เพราะเขาบอกว่าจิตนี้ไปติดที่ปีติ
คำว่า “ติดที่ปีติ” เราไปให้ชื่อ พอให้ชื่อปั๊บ เราก็ติดที่ชื่อนั้น อารมณ์อะไรก็แล้วแต่ เราก็ใส่ชื่อนี้ๆ แล้วมันก็พอใจ คือกิเลสมันหลอกไง คือเรานี่หลอกตัวเองไง หลอกว่านี่คือปีติ โอ๋ย! เราภาวนาแล้วถึงปีติ ติดอยู่ตรงนี้ เราให้ชื่อมันเอง ให้ชื่อมันเอง แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ
ถ้ามันเป็นจริงนะ มันเป็นจริง เงิน เงินอยู่กับเรา ไม่ใช้ไม่สอยเลย อยู่ได้อย่างไร มันต้องใช้สอย ใช้สอยก็ต้องหมดไป ปีติ อาการของปีติมันอยู่กับเรา มันอยู่กับเราไม่ได้หรอก มันอยู่กับเราไม่นานหรอก มันอยู่ เดี๋ยวมันก็ต้องเสื่อมไป แล้วทำไมมันติด มันไม่เสื่อมสักทีล่ะ ทำไมมันอยู่กับเราตลอดไปล่ะ เออ! มันก็แปลก เห็นไหม
เราถึงว่า แต่ถ้าเป็นภวังค์ ใช่ ภวังค์ก็หลุมดำไง มาเถอะ ดูดเกลี้ยงเลย ถ้าหลุมดำนะ อะไรมาก็หายไปหลุมดำหมด ถ้าเป็นภวังค์นะ อะไรก็ตกไปหมด ภวังค์มันดูดไว้หมดเลย จะอย่างไรก็ตกภวังค์หมด มันหายไปหมด อันนี้ติด
ถ้าตกภวังค์ ค่อยๆ แก้ ถ้าแก้ขึ้นมาได้มันก็จะดีขึ้น
ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงค่ะ ที่เมตตาต่อลูกในการตอบคำถามของลูกที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลูกจะไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อบอก แต่ลูกก็พอเข้าใจหัวใจสำคัญหลักๆ ค่ะ
ทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่หลวงพ่อเทศน์ไม่ดีหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะลูกมีปัญญาน้อย ถึงอย่างไรก็ดี ลูกพอได้ลู่ทางแล้วค่ะ ตั้งแต่เริ่มแรกจริงๆ การหัดนั่งสมาธิของลูก ที่จริงแล้วลูกเริ่มต้นที่ท่องพุทโธนะคะ แต่เป็นเพราะลูกรู้สึกว่ามันมีพลังหรือมีกำลังมาก เหมือนลูกควบคุมไม่ได้ ลูกจึงไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน (เหมือนลูกหลุดไปอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งค่ะ) ก็เลยทำให้ลูกกลัวมาก เลยไม่กล้าท่องพุทโธอีกค่ะ
ลูกเคยถามหลวงพ่อที่หมู่บ้าน ท่านว่าดูเหมือนพุทโธแรงไป เข้าเร็ว ออกเร็ว ลูกจำได้คร่าวๆ เหมือนหลวงพ่อท่านว่าพุทโธสำหรับพระป่า ดังนั้นลูกจึงเปลี่ยนมาทำแบบอานาปานสติแทน และก็ทำเรื่อยมาตั้งแต่นั้น
พอมาวันนี้ลูกลองเริ่มต้นแบบอานาปานสติก่อน พอใจเริ่มสงบลงเล็กน้อย ลูกลองเปลี่ยนเป็นท่องพุทโธในใจบ้างค่ะ เพราะอยากจะมีอะไรเกาะไว้นะคะ (ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกาะเลยค่ะ)
ผลก็คือการท่องพุทโธนี้ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนตอนแรกค่ะ คือว่ามันเข้มแข็งมาก ลูกอยากจะกราบถามหลวงพ่ออีกสักครั้งว่าชัดๆ นะคะ ลูกมีสิทธิ์ใช้การท่องพุทโธไหม ลูกเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ลูกถือเพียงศีล ๕ ไม่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระทั้งหลายที่ท่านๆ มีศีลมากกว่าค่ะ และลูกก็ไม่ได้สวดมนต์คาถาต่างๆ เหมือนพระด้วยค่ะ สวดแต่อะระหัง สัมมา สัมพุทโธธรรมดาเท่านั้นค่ะ ขอบพระคุณ
ตอบ : อันนี้ถามมา ถามมาทีแรกก็ตอบไป พอตอบไปก็ว่าพอดีขึ้น ฉะนั้น สิ่งที่ว่าดีขึ้น เวลาภาวนา นี่คำถาม หัวใจของมันก็คือว่า เวลาท่องพุทโธแล้ว เขาท่องพุทโธมาก่อน แต่เกิดพลัง เกิดพลังเหมือนหลุดออกไป
เหมือนหลุดออกไป อันนั้นไม่ต้องไปตกใจสิ พอเราไปตกใจ ตกใจกับความเห็นของเรา แล้วก็เลยกลัว แล้วไม่กล้าทำอีก แล้วก็มาทำอานาปานสติเพราะกลัวสิ่งนั้น มันก็เหมือนคนปฏิบัติบอกว่า อยากพิจารณามาก อยากจะเป็นพระอรหันต์ แต่กลัวผี ไม่อยากเห็นกาย
ไม่อยากเห็นกายเพราะเขาคิดว่ากายเป็นผีไง พอคิดว่าเห็นกาย กายต้องน่าขยะแขยง กายต้องน่ากลัว ก็เลยไม่อยากเห็นกาย กลัวมาก แต่ความเป็นจริงนะ ถ้าจิตเราสงบแล้วไปเห็นกาย นั่นน่ะคืออริยทรัพย์ นั่นคือสมบัติ เพราะกายก็คือกาย กายไม่ใช่ผี ผีคือจิตวิญญาณ กายคือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันนี้มันเป็นกาย ถ้าพิจารณากาย แต่เขาก็กลัว
อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราท่องพุทโธๆ เวลามันเข้มแข็งมาก มันหลุดออกไป เราก็ตั้งสติไว้ บางทีมันวูบ วูบจะลงอะไรอย่างนี้ ถ้ามันวูบไป เราก็พุทโธของเราไว้ ฉะนั้น ถ้ามันมีสติ ถ้ามันวูบลง เราก็พุทโธไว้ อย่าตกใจ อย่าตกใจ มีสติสัมปชัญญะไว้ ถ้าเป็นพุทโธนะ แต่ถ้าพอใช้อานาปานสติไปแล้วต่างๆ เขาว่าของเขาไป
ฉะนั้น เขามาถามว่า แล้วเขาไปถามพระ พระบอกว่าพุทโธมันแรงไป พุทโธไว้สำหรับพระป่า ไอ้อย่างเรามันเป็นคนธรรมดาไม่สมควรท่องพุทโธ
กรณีนี้มันเหมือนกรณีของเรื่องวัฒนธรรม เขาบอกว่าเวลาทำบุญสร้างโบสถ์คนเดียวไม่ได้นะ บุญมันมาก เดี๋ยวจะตายก่อน สร้างโบสถ์ต้องช่วยๆ กันสร้าง อย่าสร้างคนเดียว เดี๋ยวบุญมันใหญ่เกินไป
อันนี้ก็เหมือนกัน ประเพณีเขาคิดกันอย่างนั้นไง เขาว่าถ้าสร้างสิ่งใดถ้ามันเป็นบุญใหญ่ เราจะอยู่ไม่ได้...เราไม่เชื่อ เราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีก็คือความดี ถ้าทำความดี ความดีที่ทำได้มาก ทำของเรา มันก็เป็นของเรา
นี่ก็เหมือนกัน พุทโธเป็นของพระ เป็นของโยมไม่ใช่
เราจะบอกว่า พุทโธเป็นของทุกๆ คน เพราะพุทโธคือพุทธะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือธาตุรู้ แล้วเรามีธาตุรู้ไหม เรามีหัวใจไหม
พุทโธก็หัวใจไง พุทโธคือธรรมชาติที่รู้ แล้วมันมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แต่เพราะเราหามันไม่เป็น หามันไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนถึงอุบาย อุบายให้ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อนุสติ ๑๐ ถ้ามีสติปัญญามันจะเข้าไปหาตัวจริง คือจิตใจของเรา
ทีนี้เราพุทโธๆ เวลาพุทโธแล้วถ้ามันเข้มแข็ง มันวูบ เราพุทโธไว้ เราพุทโธของเราไว้ มีสติไว้ มันจะเป็นอย่างไร เราพุทโธของเราไว้ ไม่เป็นไร มีสติปัญญาเฉยๆ
ทีนี้เราไปตกใจ พอพุทโธมันเข้มแข็ง มันหลุดออกไปแล้วเราไปตกใจ เหมือนคนเรา คนเราใครมาทำให้ตกใจ เขาจะฝังใจมาก เราก็ต้องพยายามทำนะ พยายามทำสติไว้ พุทโธๆ ของเราไป แต่ถ้าใช้อานาปานสติต่างๆ มันก็เหมือนกัน ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน
แต่ถ้ามันบอกว่าพุทโธทำแล้วได้ง่ายกว่า ถ้าลองพุทโธ เพราะเขาอยากมีพุทโธเป็นที่เกาะ ฉะนั้น พุทโธทำได้ไหม
เราว่าได้
แล้วเราเป็นคนธรรมดา เราไม่ใช่พระ เราแค่ถือศีล ๕
เวลาพุทโธ พุทโธนี่เป็นชื่อ พุทธานุสติ เรากำหนดพุทโธ ระลึกพุทโธไว้เป็นชื่อ ถ้าเวลาพุทโธ คนโบราณของเราเวลาตกใจก็พุทโธๆ พุทโธระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของ ๓ โลกธาตุ ถ้าเราระลึกถึงพุทโธ เทวดา อินทร์ พรหมเขาเข้าใจสิ่งนี้ได้ เขาถึงพุทโธ
ทีนี้บอกว่า ถ้าเราพุทโธแล้วมันเป็นของสูงส่ง เรานึกอย่างอื่นก็ได้ นึกถึงความตายๆ ก็ได้ นึกอะไรก็ได้ มันก็เป็นที่เกาะเหมือนกัน แต่เราบอกว่า คนธรรมดาจะนึกพุทโธได้ไหม ทำไมจะไม่ได้ คนธรรมดาก็นึกได้ คือเป็นคน เป็นสิ่งมีชีวิต นึกได้หมด เพราะอะไร เพราะมีธาตุรู้ มีพุทโธอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
พุทโธคือจิตใจ จิตใจคือพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ ธรรมชาติที่รู้มันอยู่ในใจเราอยู่แล้ว แล้วบอกคนธรรมดาทำไมจะระลึกพุทโธไม่ได้ ก็มันอยู่กับเรา ก็มันสมบัติของเรา ก็มันคือหัวใจของเรา ก็มันอยู่ในตัวเรา เพียงแต่ว่าอยู่ในตัวเราแล้วเราหามันไม่เป็นใช่ไหม เราใช้คำบริกรรมพุทโธๆ เอาใจหาใจไง พอเราพุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้ก็ปล่อย ระลึกคิดไม่ได้ พอคิดไม่ได้ ถ้าสติปัญญามันพร้อม มันก็เด่นชัดขึ้นมา เด่นชัดในตัวมันเอง เห็นไหม
พุทโธเป็นชื่อของพุทโธ เวลามันเข้าถึงตัวพุทโธ มันนึกพุทโธไม่ได้เพราะตัวมันเองชัดเจน พอมันชัดเจน นี่ตัวพุทธะ พุทธะที่อยู่ในใจเราน่ะ ของที่มันอยู่ในใจของเรา เราหาของเราไม่ได้หรือ เราเป็นคนธรรมดา เรามีจิตใจ แล้วเราจะระลึกพุทโธถึงตัวเราเอง เราระลึกไม่ได้ เป็นหน้าที่ของพระ พระป่าเท่านั้นถึงจะนึกได้ เราเป็นคน เรานึกไม่ได้...เออ! คิดอะไรแปลกๆ
เราระลึกได้ แต่ที่ว่า ที่พระเขาบอกว่ามันเป็นของสูง มันเป็นของพระป่า มันเป็นความเชื่อ เราก็คิดว่าพระเป็นผู้ประเสริฐ เราคิดว่าพระเป็นผู้ประเสริฐ แล้วโยมมาบวชพระ โยมก็เป็นพระขึ้นมา โยมประเสริฐไหมล่ะ เป็นผู้ประเสริฐ ทุกคนก็มีสิทธิ์ทำได้ใช่ไหม ฉะนั้น นี่พูดถึงเพศ พูดถึงผู้ที่ถือศีลมากน้อยขนาดไหน
แต่ถ้าเราจะเอาความจริง เราปฏิบัตินี้เราจะเอาความจริงของเรา ถ้าเราเอาความจริงของเรา เราเอาที่ใจนี้ ถ้าเอาใจนี้ ได้ ใครก็ระลึกพุทโธได้ เพียงแต่ว่าระลึกพุทโธแล้ว ใครก็นึกพุทโธได้
ถ้านึกพุทโธสักแต่ว่า นึกพุทโธด้วยไม่มีสติ นึกพุทโธด้วยไม่มีความตั้งใจ มันก็เป็นพุทโธสักแต่ว่า มันไม่มีผลประโยชน์กับใครขึ้นมา
แต่ถ้าเรามีสติ เราตั้งใจระลึกพุทโธขึ้นมา พุทโธเป็นสมบัติของเรา เพราะมีเจตนา จิตมันเป็นเจ้าของ จิตมันพยายามจะระลึกพุทโธ แล้วระลึกพุทโธ มันก็มีคำบริกรรมพุทโธ พุทโธๆ จนมันพุทโธไม่ได้ มันก็วางคำบริกรรมนั้นเข้ามาเป็นตัวของมัน ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราตั้งใจทำของเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา
ฉะนั้น พระที่ท่านพูดอย่างนั้นมันก็เรื่องของท่านไป เรื่องของท่านไป เพราะสิ่งที่เขาถือเป็นประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เวลาไปธุดงค์ เวลาจะปักกลดแล้วนะ ปักแล้วต้องมีคาถา พอมีคาถาแล้วจะถอนกลดไม่ได้
เราก็ธุดงค์มา เวลาเราเข้าป่าไป เวลาเราเห็นที่ราบเรียบพอจะนอนได้ เราก็กางที่นอนของเรา แล้วก็แขวนกลดของเรา ตกกลางคืนมดมาเต็มเลย เราก็ย้ายของเรา เราย้ายตลอด เขาบอกย้ายไม่ได้ ปักกลดแล้วห้ามย้ายๆ เรานี่ย้ายมาตลอด เราไปอยู่ในถ้ำ เวลาฝนมันตก น้ำไหลมา เราก็ย้ายขึ้นไปอยู่ที่สูง เราก็ย้าย
แต่นี่มันเป็นความเชื่อไง เขาถือเคร่งไง ถือเกร็งไง แต่ถ้าเราปฏิบัติ เราเอาความจริงของเรา เราเข้าป่าเข้าเขาเพื่อหาหัวใจของเรา เราธุดงค์ก็เพื่อหาหัวใจ เราปฏิบัติก็เพื่อหาหัวใจของเรา หาพุทธะกลางหัวอก
ฉะนั้น ประเพณีที่เขาเชื่อกันมาอย่างนั้นน่ะ เวลาเขาเชื่อขลังกัน เถรส่องบาตร เห็นเขาส่องก็ส่องตามกันไป แล้วไม่รู้ว่าเขาส่องทำไม นี่ก็เหมือนกัน เชื่อก็เชื่อตามกัน ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อเป็นศรัทธา เพราะมีความเชื่อเป็นหัวรถจักรให้เรามาศึกษา ศึกษาแล้วกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์เราสอน ไม่ให้เชื่อแม้แต่ว่ามันจะเข้ากันได้กับความเห็นของเรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่อนุมานเอาเองได้ ไม่ให้เชื่อ แต่ถ้าพุทโธๆๆ จนมันเป็นความจริงนี่เราเชื่อ
ก็นี่พุทโธแล้วไง พุทโธจนมันแข็ง พุทโธจนมันหลุดไป หนูก็ตกใจ หนูก็เลยเชื่อที่หนูเห็นไง
ไอ้ตกใจมันเป็นเพราะเรายังขาดสติ เรายังไม่มีประสบการณ์ เหมือนเด็กฝึกหัดใหม่ มันก็มีการทำความผิดเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราตั้งใจจะทำความดี เราเห็นสิ่งนั้นแล้วเราตั้งสติ เราแก้ไข เราแก้ไข เราทำให้มันเที่ยงตรง ทำให้มันถูกต้อง เดี๋ยวมันจะดีงามขึ้นไป
เพราะไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อต่างๆ แต่หนูทำแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพอไปเจอพระ พระก็บอกว่า ไม่ได้หรอก มันเป็นของพระป่า ไม่ใช่ของเรา เราเป็นฆราวาส เราพุทโธไม่ได้
เขาสอนกันทั่วโลก เขาสอนกันมาตั้งแต่ ๒,๐๐๐ กว่าปี ทำไมจะพุทโธไม่ได้ พุทโธได้ เป็นธรรมดาก็พุทโธได้
นี่เขาบอกว่า “ให้หลวงพ่อพูดชัดๆ นะคะ ลูกมีสิทธิ์ใช้ท่องพุทโธไหมคะ ลูกเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ลูกถือเพียงแค่ศีล ๕ ไม่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระทั้งหลายที่ท่านมีศีลมากกว่าค่ะ ลูกจะพุทโธได้ไหมคะ”
ได้ แล้วเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของพระๆ นิพพานก็ไว้กับพระ บุญกุศลก็ไว้กับพระ แล้วเราจะเอาอะไรล่ะ เราก็จะเอาบุญกุศลเหมือนกันใช่ไหม เราก็จะเอานิพพานใช่ไหม
เรื่องของพระ พระถ้าทำดีก็เป็นเรื่องของพระ พระก็ได้ของพระไป เรื่องของเรา เราทำของเรา เราก็ได้ของเราไป เราทำความดีของเรานี่ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นของของเรา
ทำได้ พุทโธกับเราได้ พุทโธกับใครก็ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกก็ผู้ชาย อุบาสิกาก็ผู้หญิง พระพุทธเจ้าบอกเลย “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำหลอกลวงจากลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน”
แล้วพอถึงวันมาฆบูชา พอเข้มแข็ง “มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ สามารถกล่าวแก้คนที่หลอกลวงหัวใจเราได้”
นี่มันกล่าวแก้ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฝากไว้กับเราอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ไม่ได้ทำ พระพุทธเจ้ายังฝากไว้เลย มอบไว้กับเราเลย ฉะนั้น เราถึงพุทโธได้
เพียงแต่ว่าถ้าพุทโธแล้วมันเจริญก้าวหน้าก็ได้ ก็ดี ถ้าพุทโธแล้วไม่เจริญก้าวหน้า อานาปานสติก็ได้ ธัมมานุสติก็ได้ มรณานุสติก็ได้ สังฆานุสติก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ถ้ามีสติมีปัญญา ทำแล้วพัฒนาจิตใจของเราดีขึ้น ทำเพื่อให้จิตใจของเรามีคุณธรรม ทำเพื่อให้จิตใจของเรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา แล้วเกิดตบะธรรมแผดเผากิเลสของเรา ให้จิตใจของเรามีคุณธรรมขึ้นมา ทำสิ่งใดก็ได้เพื่อประโยชน์กับเรา
ฉะนั้น เราเป็นคนธรรมดาจะพุทโธได้ไหม ได้ ได้ ทำแล้วถ้ามันเป็นประสบการณ์ เป็นความจริง เป็นประโยชน์กับเรา ทำได้ทั้งนั้น แล้วถ้ามีปัญหาสิ่งใด มีสิ่งใดทำแล้วข้องใจแล้วค่อยถามมาใหม่ เอวัง